แม้การทำงานแบบ work from home จะไม่ใช่เรื่องใหม่ ถือว่าเป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์การทำงานที่มาแรงมากๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะมีงานศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Quarterly Journal of Economics บอกว่า work from home ช่วยให้การทำงาน productive มากกว่าปกติถึง 13 เปอร์เซ็นต์!
แต่พูดกันตรงๆ ว่าการทำงานจากที่บ้านให้ได้ผลดีตามทฤษฎีไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งหลายๆ คนต้องเปลี่ยนมา work from home กันอย่างกระทันหัน อาจจะปรับตัวไม่ทัน รู้สึกว่าการทำงานจากบ้านมันไม่เวิร์กอย่างที่คิด แต่เราเชื่อว่า ถ้าทุกคนได้รู้เทคนิคพร้อมเปลี่ยนวิธีคิดนิดๆ หน่อยๆ ก็จะทำให้ work from home ในช่วงนี้เวิร์กได้ และหากเราทำให้ work from home เป็นไปได้ด้วยดี นอกจากจะสร้างผลดีต่อการงานและสุขภาพร่างกายแล้ว มันยังดีกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วยนะ
work from home มันเวิร์กจริงๆ นะ
อย่างที่หลายๆ คนรู้ว่ามาตรการ work from home ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนนี้ เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้เราสร้างระยะห่างทางสังคมหรือ social distancing ได้ แม้เราจะไม่ได้ป่วยหรือต้องกักตัวเอง แต่ work from home ทำให้เราไม่ต้องไปเสี่ยงในแหล่งคนพลุกพล่านอย่างย่านออฟฟิศ ไม่ต้องแออัดในขนส่งสาธารณะ และเป็นวิธีการหน่วงโรคที่ทั่วโลกเลือกใช้
มีงานศึกษาจาก University of Southampton ที่จำลองสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่อ เปรียบเทียบนโยบายการรับมือต่อโรคโควิด-19 ของรัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ของประเทศจีน พบว่าในพื้นที่ที่มีการบังคับปิดโรงเรียน สถานที่ทำงานเพื่อให้เกิด social distancing สามารถลดอัตราการระบาดและการตายได้มากกว่า 66% ซึ่งงานศึกษายังบอกอีกว่าการแยกตัวและสร้างระยะห่างทางสังคมตั้งแต่แรก ได้ผลดีกว่าการจำกัดการเดินทางเข้าออกของคนในพื้นที่อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีกรณีตัวอย่างของประเทศจีนและอิตาลี ที่พบว่าการระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้โรงงานหยุดงาน คนทั่วประเทศต้องเก็บตัวอยู่บ้านนั้น ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และไนโตรเจนไดออกไซด์ของประเทศได้ด้วยนะ
เทคนิคทำงานอยู่บ้านให้ยัง Work
ข้อ 1 – work ให้เหมือนกับอยู่ที่ทำงาน
work from home แม้จะเป็นวิธีการทำงานที่ยืดหยุ่น เปิดโอกาสให้เราได้ทำงานตรงไหนของบ้านก็ได้ แต่อย่างไรก็ ห้าม! ทำงานบนเตียง เพราะการทำงานบนเตียงจะทำให้เรารู้สึกไม่กระฉับกระเฉง ร่างกายจะแยกการพักผ่อนกับงานไม่ได้ เราต้องท่องไว้เสมอว่านี่ไม่ใช่วันหยุด ไม่ได้พักผ่อน แต่กำลังทำงาน เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่เป็นบ้านเท่านั้น เพื่อไม่ให้ work-life balance พังในที่สุด
ฉะนั้นสิ่งต่อมาที่สำคัญของการ work from home คือการหามุมทำงานที่เหมาะสมในบ้าน อาจจะเป็นห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น หรือจะห้องนอนก็ได้ แต่ต้องมีแสงแดดเพียงพอ ไม่ถูกรบกวนได้ง่ายๆ และควรมีโต๊ะกับเก้าอี้ให้เป็นกิจจะลักษณะ เลือกโต๊ะที่ความสูงพอดี สามารถวางมือพิมพ์งานบนโต๊ะได้โดยไม่ต้องยกไหล่และข้อมือ วางหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ขอบบนของจออยู่ในะดับสายตา ถ้าใครที่ใช้โน๊ตบุ๊กอาจจะต้องใช้ที่วางช่วยยกระดับโน๊ตบุ๊กให้สูงขึ้น เลือกเก้าอี้ที่ไม่นิ่มและแข็งเกินไป เพื่อให้นั่งทำงานได้ยาวๆ โดยไม่รู้สึกเมื่อย
แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่านั่งยาวเกินไป ควรปรับอิริยาบถยืดเส้นยืดสายทุกๆ 2 ชั่วโมงด้วยนะ
ข้อ 2 – work อย่างมีตารางเวลา
ถึงจะตื่นสายได้ แต่ก็อย่าสายเกินไปจนล่วงเลยช่วงเวลา office hour ที่เคยมี เพราะเราควรจะสแตนด์บายให้เพื่อนร่วมงานสามารถติดต่อได้ง่ายๆ การตื่นมาอาบน้ำ แต่งตัว เตรียมตัวเหมือนไปทำงาน ยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายของเรารู้สึกพร้อมกับการทำงาน จากการสำรวจยังพบว่า 33% ของคนที่ work from home รู้สึกว่าการกำหนดเวลาทำงานชัดๆ จะเพิ่มความ productive ในการทำงานได้ดี
เมื่อเตรียมตัวทำงานเรียบร้อยแล้ว การทำ to do list ก็สำคัญ 30% ของคนที่ work from home บอกว่าการจัดแจงตารางให้ดีสำคัญกับการเพิ่ม productive ที่สุด การสำรวจงานที่ต้องทำให้สำเร็จในแต่ละวัน จัดแจงงานออกมาอย่างละเอียด จัดลำดับความสำคัญว่าสิ่งใดต้องส่งก่อนและทำตามตารางให้ได้ ถ้าเราสามารถทำได้ เท่ากับเราสร้างวินัยในการทำงานให้ตัวเองไปด้วย
นอกจากการจัดแจงเวลาทำงานให้มีประสิทธิภาพแล้ว อย่าลืมแบ่งเวลาพักผ่อนด้วย เพื่อไม่ให้สมองล้าเกินไป และการพักนี่แหละที่ช่วยเพิ่ม productive ได้ด้วย
มีงานวิจัยบอกไว้ว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานและการพักสมองคือทำงาน 52 นาทีและพัก 17 นาที ฉะนั้นอย่าทำงานจนลืมพัก ใช้เวลานี้ไปนั่งเล่น กินของอร่อยเพิ่มพลัง หรือยืดเส้นยืดสายคลายออฟฟิศซินโดรม แต่ก็อย่าพักจนลืมกลับไปทำงานด้วยล่ะ
ข้อ 3 – work ผ่านเทคโนโลยี
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยของการ work from home คือการสื่อสาร บริษัทสตาร์ทอัพชั้นนำหลายแห่งต่างก็ยืนยันว่าสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานเป็นทีมยังเวิร์กได้แม้จะไม่เจอกันคือ Over-Communication หรือการสื่อสารให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในการทำงาน ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่จะช่วยให้การสื่อสารยังเวิร์กได้ เช่น
Skype ต้นฉบับของโปรแกรมวิดีโอคอลที่สามารถคุยได้พร้อมกันสูงสุด 50 คนต่อห้อง แชร์หน้าจอให้กันได้ บันทึกการสนทนาได้ จุดเด่นคือรองรับอุปกรณ์แทบทุกชนิด
Google Hangout Meets โปรแกรมการประชุมของ Google ที่รองรับจำนวนผู้เข้าร่วมสูงสุดได้ถึง 50 คน สามารถพรีเซนต์งานได้และเชื่อมต่อได้ทั้งคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน
Zoom แอปพลิเคชันที่เหมาะกับการประชุม คุยงาน อบรม สัมมนา หรือเปิดคอร์สสอนออนไลน์อย่างจริงจัง เพราะมีระบบตอบโต้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการประชุมและจัดคลาสสอน เช่น ระบบพูดคุยกันเองระหว่างผู้เรียน ระบบยกมือ
Microsoft Teams แอปพลิเคชันจากฝั่ง Microsoft ที่ออกแบบมาเพื่อการสื่อสารภายในองค์กรโดยเฉพาะรองรับการประชุมออนไลน์สูงสุด 10,000 คนต่อห้อง! มีฟังก์ชั่นครบครัน สามารถแช็ต โทร วิดีโอ แชร์หน้าจอ แชร์ไฟล์ และที่สำคัญคือฟรีสำหรับคนที่มี Office 365 อยู่แล้ว
Slack อีกหนึ่งเครื่องมือการสื่อสารกันภายในทีมที่รองรับสมาชิกได้จำนวนไม่จำกัดสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้หลายรูปแบบทั้งข้อความธรรมดา ไฟล์ภาพ วิดีโอ ลิงก์ และยังโพสต์โต้ตอบกันได้เหมือนโซเชียลเน็ตเวิร์กแบบหนึ่งด้วย
Discord แอปฯ มาแรงในกลุ่มเกมเมอร์ที่สามารถวิดีโอคอลได้สูงสุด 50 คน ใช้งานได้ทั้งบนคอม บนเบราวเซอร์ ในมือถือ และแท็บเล็ต ทั้ง iOS และ Android สามารถแชร์หน้าจอ คุยเสียง และส่งไฟล์ได้ มีระบบความปลอดภัยที่สุด เพราะสมาชิกต้องถูกเชิญเข้ามาเท่านั้น
และนอกจากเทคโนโลยีที่ช่วยให้การสื่อสารเวิร์กแล้ว เทคโนโลยีช่วยจัดการตารางเวลาก็เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะกับการทำงานเป็นทีมที่ต้องติดตามผลเมื่อให้สามารถรับงานต่อๆ กันไปได้
Toggl แอปพลิเคชันที่ช่วยให้สามารถติดตามเวลาการทำงานของทั้งตัวเราเองและคนในทีม เพื่อคอยติดตามว่าตอนนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง ใช้เวลากันไปเท่าไหร่
Trello แอปฯ ที่เหมาะกับการทำงานเป็นโปรเจกต์ มีเครื่องมือการจัดการในรูปแบบ ‘การ์ด’ ที่เอาขั้นตอนการทำงานของเราไปวางไว้บนกระดานข้อมูลในแอปฯ ช่วยให้ทีมได้เห็นการทำงานแบบภาพรวมมากขึ้น ง่ายต่อการตามงานในระหว่างที่ไม่ได้เจอหน้ากัน
Happy Work แอปพลิเคชันช่วยจัดการทรัพยากรบุคคลในช่วงวิกฤตที่มีระบบเช็กอินเข้า-ออกงาน แจ้งลาหยุดได้ง่ายๆ ผ่านแอปฯ แจ้งเบิกค่าใช้จ่ายผ่านการอัพโหลดรูปภาพใบเสร็จด้วยฟีเจอร์ค่าใช้จ่ายที่แบ่งหมวดไว้ชัดเจน
Spark แอปฯ ที่ช่วยให้เราสามารถจัดการอีเมล์เป็นร้อยๆ กล่องข้อความได้ภายในระยะเวลาไม่กี่นาที
Zapier แอปฯ ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อแอปฯ ต่างๆ ที่เราใช้ในการทำงานเข้าด้วยกัน ถ้าเราติดตั้ง Zapier ไว้ มันจะทำหน้าที่ ‘auto saved’ ให้กับทุกแอปฯ ด้วย เช่น Gmail Google Drive Dropbox Evernote ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาอัพโหลดไฟล์ไปมาหลายๆ รอบ
work กันต่อไป ให้เวิร์กถึงในอนาคต!
สำหรับใครที่มีโอกาสได้ work from home หรือกำลังจะเริ่มเวิร์กในเร็วๆ นี้ ทุกๆ ปลายสัปดาห์อย่าลืมประเมินประสิทธิภาพการทำงานของตนเอง ว่างานออกมาเวิร์กไหม สามารถรับผิดชอบงานให้ตลอดรอดฝั่งได้หรือไม่ และปรับปรุงให้เวิร์กยิ่งๆ ขึ้นไป
นอกจากจะช่วยให้เรารับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายออกมาได้ดียิ่งขึ้น ร่วมมือร่วมใจผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้ทั้งองค์กร ไม่แน่ว่า เมื่อวิกฤตโควิด-19 นี้จบไป องค์กรได้เห็นว่าการทำงานที่บ้านก็เวิร์กได้ อาจจะส่งผลให้เกิดนโยบาย work from home อย่างจริงจัง ที่ช่วยให้เราไม่ต้องตื่นเแต่เช้าไปตอกบัตรเข้างานทุกวัน ทำให้สามารถลดการเดินทาง ประหยัดเวลา ไม่ต้องเอาตัวไปแออัดในขนส่งสาธารณะ ส่วนคนใช้รถส่วนตัวก็ได้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโลกร้อนได้ด้วย
ที่ผ่านมาเคยมีการเก็บข้อมูลว่านโยบายการ work from home ของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Dell Xerox และ Aetna สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 95,294 ตันต่อปีหรือเทียบเท่ากับการนำรถยนต์ 20,000 คันออกจากถนนเลยทีเดียว
ในเมื่อมันดีทั้งต่อสุขภาพของเราและสุขภาพของโลก เราจึงอยากชวนทุกคนมาร่วมทำให้การ work from home ครั้งนี้ เวิร์กยิ่งขึ้น และเวิร์กต่อไปถึงในอนาคต!
Read More:
คุยกับ 4 เจ้าของโต๊ะทำงานที่ใช่ ในวัน Work From Home
In a Relationship with My Workstation!
เบน-เบญจรัตน์ เอี่ยมรัตน์ ดีไซเนอร์ ที่เข้าครัวทำวุ้นโยคังให้กลายเป็นงาน
เมื่องานของกราฟิกดีไซเนอร์ไม่ได้อยู่บนกระดาษ หน้าจอคอมพิวเตอร์ บนโลโก้แบรนด์ ฯลฯ แต่อยู่ในขนม
บันทึกวันไร้แพสชันที่สรุปได้เองว่า ก็อยู่ได้ไม่ตายนี่แก
ทางออกในวันไร้แพสชันแบบฉบับมนุษย์ที่อยากเป็นเพื่อน(ที่แสนใจดี)กับตัวเอง