ถึงแม้การอยู่บ้านจะเป็นสวรรค์สำหรับคนติดบ้านอย่างเรา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการอยู่บ้านโดยไม่ได้ออกไปไหนสักเท่าไหร่ ก็ทำให้เราพลาดกิจวัตรหลายๆ อย่างที่เคยทำไปเหมือนกัน เช่น การเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นการออกกำลังกายอย่างง่ายที่สุดสำหรับเรา หรือการได้เจอผู้คนบ้างให้พอหายเหงา แถมนานวันเข้ากิจกรรมที่เคยขุดมาทำก็เริ่มเบื่อจนต้องกลับไปนอนเฉยๆ เหมือนเดิม
หลังจากเริ่มตระหนักได้ว่าสุขภาพกายกำลังจะแย่ และเราคงไม่อยากให้สุขภาพใจแย่ตามไปอีก เราจึงลองหาวิธีการง่ายๆ ที่จะทำให้เราได้สนุกกับการดูแลตัวเองมากขึ้น จนพบว่าจริงๆ แล้วการโหลดแอปพลิเคชันต่างๆ ที่เขาพูดถึงกันเยอะๆ ในโลกออนไลน์มาลองใช้ก็เป็นทางเลือกที่ดีอยู่เหมือนกัน
แอปฯ ต่างๆ เหล่านี้เขามีชื่อเรียกรวมๆ กันว่า mindful application และ healthcare application ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐอเมริกา
mindful application เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงมากๆ ขนาดที่ผลการค้นหาเรื่องนี้ในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ในปีที่ผ่านมา และจำนวนการดาวน์โหลดแอปฯ เหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นถึง 6 เปอร์เซ็นต์ พร้อมแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
อย่างแอปเสียงจากธรรมชาติ แอปจับเวลานั่งสมาธิ พวกนี้ช่วยให้เรามีสมาธิอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ช่วยในการนอนหลับ ลดความตึงเครียด และความกังวลใจซึ่งเกิดจากการทำงานและการเข้าถึงโลกออนไลน์มากเกินจำเป็น แม้ตัวแอปฯ เองจะไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้เท่ากับการไปนั่งสมาธิที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมจริงๆ หรือการไปพบจิตแพทย์ แต่ผู้คนทั่วโลกต่างก็ลงความเห็นว่ามันสามารถช่วยลดความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้ง่ายและได้ผลดีมากทีเดียว
อีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงพอๆ กันก็คือ healthcare application เพราะนี่คือมิติใหม่ของวงการการแพทย์ นอกจากแอปฯ ที่ช่วยให้เราติดต่อกับคุณหมอและโรงพยาบาลได้ง่ายขึ้นแล้ว healthcare application ยังรวมไปถึงแอปฯ เกี่ยวกับการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพด้วย เช่น Homecourt สุดฮิต แอปฯ ออกกำลังแบบคาร์ดิโอที่จับเซ็นเซอร์การขยับของเราได้ หรือแอปฯ ตรวจจับระยะทางการวิ่งต่างๆ
ซึ่งผลสำรวจจากแพทย์ของสหรัฐฯ กว่า 93% ก็ยอมรับถึงประสิทธิภาพของพวกมัน นอกจากนี้มันยังทำให้ผู้คนเข้าถึงการออกกำลังกายได้สะดวกขึ้น ในราคาประหยัดขึ้น เหมาะกับช่วงเวลาที่เราต้องเก็บตัวอยู่บ้านกันสุดๆ
อย่างเราเองก็ได้ทดลองโหลดแอปฯ เหล่านี้มาลองเล่นระหว่างวันถึง 5 แอปฯ แต่ละอันจะเป็นอย่างไรบ้าง ลองมาดูกัน
Plant Nanny
ปลูกต้นไม้ให้โตไวด้วยการกินน้ำวันละ 8 แก้ว
อย่างที่รู้ว่าคนเราควรกินน้ำวันละ 8 แก้ว แต่เรื่องน่าเศร้าก็คือเราไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองกินน้ำครบ 8 แก้วหรือเปล่า เพราะบางวันรู้สึกว่ากินไปตั้งเยอะ แต่ความจริงอาจจะกินไปไม่ถึงครึ่งของปริมาณที่ร่างกายต้องการก็ได้
Plant Nanny ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยเตือนให้เรากินน้ำให้ครบวันละ 8 แก้ว โดยคำนวณปริมาณตามส่วนสูงและน้ำหนักของเรา พอกินเสร็จก็ให้เข้าไปกดรดน้ำต้นไม้ เพื่อปลูกดอกทานตะวันให้เติบโต และถ้าเราหายไปนานๆ ดอกไม้ของเราก็จะเหี่ยวเฉาจนน่าสงสาร (แน่นอนว่าเราทำเฉาไปหลายรอบมาก)
ถึงหน้าตาของแอปพลิเคชันอาจจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เราค้นพบก็คือ เราไม่เคยกินน้ำถึง 8 แก้วจริงๆ เลย ขนาดรวมที่ลืมรดน้ำไปบ้างในบางวัน จำนวนแก้วที่กินไปมากสุดก็แค่ 5-6 แก้วเท่านั้น เป็นความจริงใหม่ที่ปวดใจมาก และคงต้องพยายามกันต่อไป
Forest
แอปฯ ปลูกป่าจากช่วงเวลาที่ห่างมือถือ
ถ้าถามว่าเวิร์กฟรอมโฮมนี้นอกจากทำงานแล้วได้ทำอะไรอีกบ้าง ก็คงต้องตอบว่าเล่นมือถือ!
แอปฯ นี้เสียเงิน 60 บาท แต่ก็เป็นตัวช่วยที่ดีมากสำหรับใครที่ชอบเผลอไปเล่นมือถือตอนกำลังทำอย่างอื่นอยู่ เพราะมันจะคอยเป็นนาฬิกาตั้งเวลาให้เราออกห่างจากหน้าจอ โดยเวลาที่เราหายไปจะกลายเป็นน้ำรดต้นไม้ให้เติบโต เมื่อทำสำเร็จตามเป้าหมายเราจะได้เหรียญเพื่อไปซื้อต้นไม้ใหม่ และถ้าเก็บเหรียญได้มากพอเรายังสามารถนำไปซื้อต้นไม้จริงๆ ให้ทางแอปฯ ช่วยปลูกป่าต่อได้
เราเริ่มจากการจับเวลาสั้นๆ ประมาณ 20-30 นาทีก่อน แล้วก็พบว่าได้ผลดีกว่าที่คิด ยิ่งถ้าตั้งค่าเป็นโหมด deep focus เราจะไม่สามารถออกจากหน้าแอปฯ ไปทำอย่างอื่นได้เลย ไม่อย่างนั้นต้นไม้จะเฉาลง ซึ่งเราก็คงจะรู้สึกว่าทำมิชชั่นนี้ไม่สำเร็จก็เลยต้องกัดฟันทนไม่หยิบมือถือกันต่อไป จนหลังๆ มาเราสามารถปลูกต้นไม้นาน 50 นาทีหรือเป็นชั่วโมงได้สบายมาก แม้จะแอบมียุกยิกบ้างก็ตาม จนบางทีก็ลืมมือถือไปเลย
หรือใครที่มีเพื่อนเล่นเหมือนกันก็สามารถตั้งให้การปลูกต้นไม้เชื่อมต่อกันได้ ถ้าใครคนหนึ่งทำต้นไม้เฉา ต้นไม้ของเพื่อนๆ ก็จะเฉาตามไปด้วย
Just Dance
แดนซ์กระจายประกอบเพลงไปพร้อมเพื่อนทั่วโลก
หลังจากพบว่าคลิปออกกำลังกายตามฟิตเนสนั้นยากจนต้องขอยอมแพ้ เราก็เลยหันมาพึ่งเกมเต้นออกกำลังกายที่เห็นคนแนะนำในทวิตเตอร์แทน
Just Dance น่าจะเป็นเกมที่ทุกคนรู้จักกันดี แม้จะเต้นไม่เป็นเราเองก็ยังเคยเล่นเกมนี้มาก่อน แต่เพิ่งมารู้เหมือนกันว่ามันสามารถเล่นได้โดยไม่ต้องมีเครื่องเกม เพียงแค่มีแอปฯ นี้ในมือถือ และมีคอมหรือทีวีที่เปิดหน้าเว็บของเกมได้ เราก็จะสามารถเข้าไปเล่น Just Dance กับเพื่อนๆ ทั่วโลกได้ง่ายๆ
แน่นอนว่าโหมดที่เวิร์กที่สุดก็คือโหมดฟิตเนส แม้ท่าเต้นจะยากขนาดที่เราผู้ขยับแขนขามั่วๆ ยังทำตามไม่ทัน แต่เพราะเราต้องคอยเก็บคะแนนกับเพื่อนๆ คู่แข่ง การแข่งขันในโหมดนี้เลยทำให้เหงื่อแตกเหมือนได้ไปออกกำลังกายจริงๆ ทุกที ซึ่งถ้าเล่นวันละหลายๆ เพลงเราว่าก็เหนื่อยพอๆ กับการได้ออกไปวิ่งนานๆ เลย
แต่ข้อเสียของเจ้าเกมนี้มีอยู่นิดหน่อย เพราะถ้าอยากเล่นแบบไม่เสียเงินก็จะเต้นได้แค่วันละสองเพลงเท่านั้น ต้องจ่ายเงินเดือนละประมาณ 170 บาท ถึงจะสามารถเล่นได้ทุกเพลงไม่มีหยุด ถ้าใครคำนวนแล้วว่าเต้นจนคุ้มแน่นอน เราว่าก็เป็นตัวเลือกในการออกกำลังการที่ง่ายและน่าลองมากๆ เลย
Walkr
เดินไปสู่จักรวาลอันไกลโพ้น
ส่วนใครที่คิดว่าการเต้นอาจจะเป็นทางเลือกที่ยากเกินไปหน่อย เราก็ขอชวนมาเล่นเกมที่ไม่ต้องทำอะไรมากเพียงแค่เดินให้ได้เยอะที่สุดก็พอ
จริงๆ แล้ว Walkr เป็นเกมที่เราโหลดแล้วลบมาหลายรอบ เพราะตัวเกมค่อนข้างซับซ้อนจนเราก็ไม่แน่ใจว่าเดินเสร็จแล้วจะต้องทำอะไรต่อ แต่ถ้าลองไปอ่านวิธีการเล่นดูดีๆ จนเริ่มเข้าใจแล้วล่ะก็เกมนี้จะสนุกมากขึ้นเยอะเลยล่ะ
ในเกมนี้เราทำหน้าที่เป็นผู้สำรวจอวกาศ ทุกก้าวที่เดินจะถูกนำไปใช้เป็นพลังงานในการสำรวจและอัพเกรดดาวดวงต่างๆ ดังนั้นถึงในเกมจะมีเงินเยอะแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีก้าวเดินเราก็จะทำอะไรไม่ได้เลย! และยิ่งค้นพบดาวเยอะเท่าไหร่ เราก็จะสามารถนำของจากดาวต่างๆ มาคราฟท์ตามมิชชั่นในเกมได้มากขึ้นเท่านั้น อย่างเราเองก็ยังเดินไม่มากพอจะทำของได้ จนตอนหลังต้องแอบเนียนใช้วิธีการขี่จักรยานรอบบ้านให้มือถือขยับแทน
เราว่าข้อดีของแอปนี้คือการที่ตัวเกมเชื่อมโยงกับระบบฟิตเนสของมือถือโดยตรง เน้นนับการขยับโดยเฉพาะ ไม่เหมือนกับเกมเดินอื่นๆ ที่จะต้องเปิด GPS เล่น แถมทุกก้าวเดินของเราทางเกมเขาก็ยังนำไปคำนวณออกมาเป็นพลังงานที่ใช้ในแต่ละวันให้ดูด้วย
Headspace
แอปฯ ที่ทำให้การนั่งสมาธิกลายเป็นเรื่องน่ารัก
หลายๆ คนอาจจะเข้าใจว่าแอปพลิเคชันเกี่ยวกับสมาธิจะเป็นแอปฯ ที่มีแต่การนั่งสมาธิเท่านั้น แต่จริงๆ แอปฯ พวกนี้กลับมีฟังก์ชั่นหลากหลายมากๆ แล้วก็มีรูปแบบให้เลือกโหลดเยอะแยะไปหมด ถึงจะต้องเสียเงินรายเดือนเกือบทุกแอปฯ ก็ตาม
เนื่องจากเรายังไม่กล้าเสี่ยงเสียเงินเดือนละสี่ร้อยกว่าบาท เราเลยตัดสินใจโหลดแอปที่มีช่วงให้ทดลองฟรีมาใช้ก่อน โดย Headspace คือตัวเลือกของเรา จากหน้าตาที่น่ารักกุ๊กกิ๊กและดาวจากการรีวิวที่สูงลิ่ว
ฟังก์ชั่นของมันคือการให้เราฝึกสมาธิสั้นๆ วันละอย่างน้อยสิบนาที ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่เราสามารถเลือกทำได้ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ การฟังเสียงบรรยาย ฟังเสียงธรรมชาติ เล่นโยคะ หรือออกกำลังกายคาร์ดิโอง่ายๆ แถมบางวันยังมี live session ให้ทำสมาธิพร้อมๆ กันด้วย ซึ่งเขาจะจัดให้ตามความสนใจของเรา เช่น อยากฝึกเพื่อลดความตึงเครียด ฝึกเพื่อลดความกังวล หรือแค่อยากลองอะไรใหม่ๆ ก็ยังได้
หลังจากใช้ของฟรีมาเกือบครบสัปดาห์ เราก็ค้นพบว่ามันมีประโยชน์ดีทีเดียว พวกคลิปบรรยายเสียงฟังเพลิน สงบจนชวนหลับจริงๆ แต่ถ้าจะให้จ่ายเงินเดือนละ 400 ก็น่าจะโหดไปหน่อยสำหรับมือใหม่ ดังนั้นเราคงต้องบอกลาฟังก์ชั่นสุดน่ารักแล้วกลับไปฟังคลิปยูทูบแทนก่อนแล้วกัน
แอปพลิเคชันเหล่านี้เป็นแค่ตัวเลือกหนึ่งของการดูแลกายและใจในช่วงอยู่บ้านเท่านั้น สำหรับใครที่มีทางเลือกอื่นๆ ก็อย่าลืมนำมาปฏิบัติกันเพื่อไม่ให้การกักตัวทำร้ายทั้งสุขภาพกายและใจของเรามากจนเกินไป แล้วอย่าลืมว่าแม้เรากำลังจะได้ออกไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมในอีกไม่นานนี้ เราก็ต้องให้ความสำคัญกับกายและใจของตัวเองเหมือนเดิมด้วยนะ
Read More:
ตามหาที่นั่งทำงาน สะดวก ถูกและดี ในกรุงเทพฯ มีอยู่จริงปะ?
ถ้าอยากออกไปทำงานนอกบ้าน จะไปนั่งที่ไหนได้บ้างนะ
มองโลกให้น่ารักแบบแก๊งหมอ!
ส่องความ empathy ที่แอบอยู่ในซีรีส์ ส่งท้าย Hospital Playlist
แพ้ชนะไม่สำคัญเท่า ‘ความเป็นมนุษย์’
รวมมิตรชัยชนะของ #สิทธิมนุษยชน ในโตเกียวโอลิมปิกเกมส์ 2020