จำได้ดีว่าเดือนก่อนที่ออฟฟิศนัดประชุมวางแผนคอนเทนต์ประจำเดือน November เดือนนี้ เราตกลงกันว่าจะให้ทุกคนออกมา No อะไรสักอย่างที่จะทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น วันนั้นแหละ คือวันที่เราเริ่มเข้าใจตัวเองว่า drive ข้างในเรากำลังอยู่ในภาวะติดหล่ม มีชีวิตทำงานในแต่ละวันแบบ in the doldrums ของจริงไม่ติงนัง
No Passion คือคำแรกๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัว เพราะเราในเวลานั้นรู้สึกไม่อยากจะทำอะไรเลยจริงๆ (แล้วดันขายหัวข้อที่เตรียมมาข้อเดียวผ่านด้วย ขอบคุณค่า)
พอคุยกับตัวเองมากขึ้น ก็พบเรื่องเศร้าอีกว่า จากเดิมที่เคยนิยามแพสชันตัวเองว่า อ๋อ แพสชันของฉันคือการพบเจอผู้คนหลากหลาย ได้มีบทสนทนาที่ทำให้ข้างในเราเติบโต และได้ทำงานเขียน เล่าเรื่องเจ๋งๆ ให้คนอื่นอ่าน ทั้งก้อนนี้หล่นหายไปจากตัวเราตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ (แต่ก็ยังทำงานตามรูทีนปกติไหวอยู่นะ)
ที่ทำให้หนักใจขึ้นอีกเบอร์คือ ไอ้สิ่งที่ยอมเททุกอย่างเพื่อทำ อาทิ ไปเจอเพื่อน หากาแฟอร่อยๆ กิน ทำอาหาร หรืออบขนมปังสูตรใหม่ๆ ทุกวีคเอน ก็ถูกจัดเข้าหมวดสิ่งที่อยากอยู่ห่าง ไม่อยากทำไปด้วยเรียบร้อย
ตอนแรกคิดว่าแค่เบื่อๆ เพราะก็ไม่ได้รู้สึก ‘ไม่ชอบ’ งานที่ทำหรือกิจกรรมที่เคยอิน เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับมาเป็นเราคนเดิมได้แหละ ความจริงคือเปล่าเลย มันยิงยาวขนาดว่ามีหลายคืนที่เราตีอกชกหัวตัวเองด้วยคำถาม ‘ทำไมเราถึงเป็นคนที่สนุกทุกวันไม่ได้แบบเดิม’ ซึ่งเหตุผลที่เรารู้สึกว่าการไม่มีแพสชันให้ยึดเหนี่ยวเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับตัวเองที่สุด ก็เพราะส่วนตัว เราเป็นมนุษย์อยู่นิ่งแทบไม่ได้ การอยู่เฉยเท่ากับปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้คุณค่า (นอนเฉยๆ ไม่เป็น เพราะฟ้าลงโทษให้กายหยาบนี้ไม่ชอบการนอนไปอีก) ถ้าไม่ทำงาน ก็จะเข้าโหมดหาทำไปเรื่อยๆ ซึ่งการที่ไม่มีความสุขกับอะไรเลย หรือมองไม่เห็น purpose ของชีวิต เอาจริงๆ มันเศร้าแบบสุดกู่อยู่นะ
หมดแพสชันเหรอ? เติมง่ายๆ แค่ 4 วิธีนี้
6 วิธีปลุกแพสชันให้กลับมาลุกโชน
9 วิธีการค้นหาแพสชัน เพื่อให้ชีวิตมีความหมาย
ฯลฯ
ตลกดีที่จู่ๆ ก็นิมิตขึ้นว่า อาการหมดแพสชันก็น่าจะเหมือนอาการป่วยออดแอดที่เสิร์ชกูเกิลแล้วเจอวิธีเยียวยาแหละมั้ง
แต่การเสิร์ชก็ทำให้เราได้รู้เพิ่มอีกว่า สังคมเราดันไม่ค่อยพูดเรื่อง ‘การไม่มีแพสชันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นไร’ สักเท่าไหร่เลย นี่พวกเราจะเอาแบบนี้กันจริงๆ เหรอ ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคนแพสชันหดหายน่ะ ซึ่ง ณ ตรงนี้ ขอออกตัวชัดเจนเลยว่า เราไม่ได้มองว่าการพยายาม force ให้คนตามหาแพสชันเป็นเรื่องไม่ดี แต่มันแค่เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะกับคนหมดแรงแบบเราเท่านั้นเอง (แต่หนึ่งในพอดแคสต์ที่ฟังแล้วชุบชูใจสุดคือ R U OK EP.239 ถ้ารู้สึกชีวิตติดหล่มเหมือนกัน ขอแนะนำให้ไปฟังกันนะ)
เมื่อจับมาผสมโรงกับ quote ที่จิตแพทย์เคยพูดกับเราช่วงต้นปีที่ผ่านมาว่า “เรื่องนี้มันอาจจะไม่มีผิดมีถูกเลยก็ได้นะ” ใช่ การไม่มีแพสชันมันก็ไม่มีผิดมีถูกเหมือนกัน ถ้าฉันอ่อนแอหรือเฉื่อยอยู่ก็ทิ้งฉันไว้ตรงนั้นเถอะ ขออยู่นิ่งๆ อยู่กับตรงนั้นอีกหน่อยก็แล้วกัน
พอเริ่มวางคำว่าแพสชันลง ไม่ยึดติดกับตัวเองในเวอร์ชั่น 2-3 เดือนก่อนหน้า หรือ 2-3 ปีก่อนที่มีแพสชันแรงกับงานและเป็นเด็กที่มีแววตาเป็นประกายเอามากๆ และโฟกัสกับลมหายใจเข้าออก จับตัวเองให้อยู่นิ่งได้ เรากลับค่อยๆ เข้าใจว่าแพสชันมันก็น่าจะเหมือนอวัยวะในร่างกายเรานี่แหละ
มวลกล้ามเนื้อหรือระบบย่อยอาหารเราในวันนี้ คงทำงานได้ไม่เหมือนวันเดียวกันเมื่อ 3 ปีก่อนที่นั่งทำงานต๊อกแต๊กนานเท่าไหร่ก็ไม่เมื่อย กินเท่าไหร่ก็ท้องไม่อืด กินดึกแค่ไหนก็ไม่เป็นกรดไหลย้อน แพสชันก็น่าจะเป็นอะไรทำนองนี้ เจ็บป่วย เสื่อมสภาพการทำงานไปบ้างตามกาลเวลา แต่โดยภาพรวมเราก็ยังหายใจหายคอได้อยู่นะ
รู้ตัวอีกที ‘ทำไมเราถึงเป็นคนที่สนุกกับทุกวันไม่ได้แบบเดิม’ ก็กลายเป็นคำถามที่เราไม่ค่อยแยแสคำตอบอีกต่อไปแล้ว ที่แน่ๆ ระหว่างนี้เราขอได้กินข้าวอร่อยและนอนหลับอย่างเพียงพอ เอาตัวรอดเพื่อที่จะได้ฉีดวัคซีนบูสเตอร์เข็ม 3 ที่รอมาเนิ่นนานให้ได้!
ใส่เกียร์ถอย ตั้งลำใหม่ ถึงจะยังไม่เห็นแพสชันใหม่หรือเป้าหมายใหม่ชัดเจน แต่เดี๋ยวสักวันมันจะค่อยๆ โผล่หน้าออกมาให้เห็นแหละ นาทีนี้เราเชื่ออย่างนั้นนะ
บันทึกประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564
/เอื้อ
Read More:
งานที่ดี คือ งานที่_________
งานที่ดีคืองานแบบไหน ลองมานิยามกันดูไหมให้การทำงานเวิร์กขึ้น!
คุยกับ 4 เจ้าของโต๊ะทำงานที่ใช่ ในวัน Work From Home
In a Relationship with My Workstation!
รีวิวยกออฟฟิศไปเวิร์กช็อปศิลปะบำบัดที่ Studio Persona
เมื่อ ili ยกออฟฟิศ (ที่มีกันแค่ 6 ชีวิต) ไปสตูดิโอศิลปะบำบัด