ใช่ค่ะ บางครั้งการมีคนคอยฮีลใจข้างๆ รับฟังเรื่องราว หรือคอยซับน้ำตาในวันที่เหนื่อยมันก็ช่วยจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็ใช่ว่าเราจะขอให้คนอื่นๆ มานั่งฟังถึงวันแสนเหนื่อยของเราตลอดไปได้ รวมไปถึงบางทีการได้ระบายออกไปอาจจะยังไม่ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด ดังนั้นอีกวิธีที่จะช่วยเข้ามาเยียวยาเราได้คือการได้มีเวลาเป็นของตัวเอง
การมีเวลาให้ตัวเอง เป็นศัพท์ที่อาจจะมีมานาน..มาก แต่ก็ยังไม่ได้เป็นเทรนด์อะไร ต่อมาในวันที่เราถูกบอกให้ต้องโปรดักทีฟทุกวี่ทุกวัน ก็เลยมีนิยามการให้เวลาตัวเองที่จริงจังขึ้นซึ่งเรียกว่า ‘Me Time’ พูดอย่างคร่าวๆ มันคือช่วงเวลาของการชาร์จแบตให้ตัวเอง ด้วยการอยู่คนเดียว ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ หรือได้มีช่วงเวลาที่เราได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ โดยอาจจะแบ่งเวลาอย่างน้อยแค่วันละชั่วโมง ลองกลับมาอยู่กับตัวเอง ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แบบโนสน โสแคร์ ว่าใครจะว่าอะไร
จริงๆ Me Time ของแต่ละคนก็แสนจะหลากหลาย แต่ถ้าใครยังไม่แน่ใจว่าเริ่มยังไงดี นี่คือตัวอย่างที่เราทำแล้วเวิร์ก มาแชร์ให้ทุกคนลองกัน
- ปิดโทรศัพท์ก่อนสตาร์ท Me Time
ด้วยชีวิตที่ต้องตามข่าว ตามคอนเทนต์อัพเดตใหม่ๆ ตลอดเวลา บางครั้งพอกลับบ้านมา เราก็เลยเลือกชัตดาวน์ตัวเองจากโลกออนไลน์ไปเลย เพราะมันเยอะเกินไป ไม่ไหวจริงๆ ซึ่งเราทำแบบนี้เพื่อไม่ให้ต้องเสียสมาธิไปกับเพื่อนชวนคุย หรือเสียงแจ้งเตือนที่บางทีก็ทำเอาหลอน แถมยังเป็นวิธีฝึก Social Detox เล็กๆ ในวันที่เรารับข้อมูลจากโซเชียลมีเดียจนล้น เผลอๆ ก็ทำเราเครียดหรือนอยด์ไปด้วย ซึ่งพอเราทำแล้วรู้สึกได้เลยว่าชีวิตดีขึ้นได้ เพียงแค่ลองปิดโซเชียลมีเดียสักชั่วโมง สองชั่วโมงเท่านั้นเอง
- ไปดูหนังในโรงหนัง
ปกติตอนเปิดสตรีมมิ่งดูอยู่บ้าน เราชอบเผลอวอกแวกตลอด เพราะรู้สึกมันลุกง่ายเกินไป จนสุดท้ายก็เหมือนเปิดให้หนังดูเราไปแทน มีวิธีหนึ่งที่เราค้นพบคือเลือกไปดูหนังในโรงหนังซะเลย เพราะมีจอใหญ่ๆ เป็นจุดสนใจ แถมบังคับให้เราเล่นโทรศัพท์ไม่ได้ บรรยากาศโรงหนังก็เลยเหมือนทำให้เราได้อยู่กับตัวเองจนเป็นอีกหนึ่ง Me Time คุณภาพที่เราทำบ่อยๆ ถึงขั้นมีช่วงที่เรารู้สึกเครียดมากจนไปดูหนังในโรงหนังเรื่องเดิมซ้ำเป็น 10 รอบ เพราะมันฮีลได้จริงๆ
- อ่านหนังสือ ลดขนาดกองดอง
สำหรับชาวรักการอ่าน (ขอยกมือ!) รู้กันดีว่าการอ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาที่เราต้องมีสมาธิกับตัวเองขั้นสูง เลยเป็นวิธีที่ได้มี Me Time แบบคุณภาพสำหรับเราเอง ส่วนตัวเราชอบใช้เวลาก่อนนอนอ่านหนังสือเพื่อปรับจังหวะให้ช้าลง แถมยังหลุดไปในจินตนาการของตัวเองแบบลาก่อนโลกความจริงอันแสนเหนื่อย ซึ่งก็ขอฝากทริกเล็กๆ สำหรับชาวรักการอ่านแต่รู้สึกว่าสมาธิสั้นเกินกว่าจะอ่านหนังสือแล้ว ให้ลองเลือกจากเล่มเล็กๆ อ่านง่ายๆ หรือจะเป็นการ์ตูนก็ได้ แล้วค่อยๆ ขยับเลเวลไปอ่านเล่มอื่นๆ ที่เราชอบ
- นอนเฉยๆ มองเพดาน ฟังเพลงที่เราชอบ
พูดว่านอนโง่ๆ ก็คงไม่ผิดนัก แต่การนอนโง่ๆ ฟังเพลงไปเรื่อยๆ ของเราก็เป็นอีก Me Time ที่เราทำแล้วชอบมากและอยากชวนลอง ยิ่งวันไหนที่เหนื่อยเกินกว่าจะเตรียมของ เราก็ขอแค่นอนกลิ้งบนเตียง ฟังเพลงไป ฟังเสียงของตัวเองไปว่าตอนนี้ไหวไหม ไปต่อหรือพอแค่นี้ เอาไงกับชีวิตดี เป็นช่วงเวลาที่เรามักจะได้ตกตะกอนอะไรบางอย่าง หรือเจอความต้องการที่เคยหล่นหายไปจากวันที่หัวหมุน รวมไปถึงก็เคยมีช่วงเวลาที่กดดันว่าต้องทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ตลอดเวลา ก่อนจะค้นพบว่าการไม่ทำอะไรเลยสักชั่วโมง สองชั่วโมง หรือในวันหยุดก็ไม่ใช่เรื่องผิด และมันทำได้ เรายืนยัน เพราะทำมาแล้ว แถมยังรู้สึกดีขึ้นจริงๆ
ยังมีอีกสารพัดวิธีสร้าง Me Time ตามความชอบของแต่ละคน ไม่ว่าจะทำกับข้าว ออกไปเดินเล่นในสวนคนเดียว ปลูกต้นไม้ เล่นเกม นอนแช่น้ำอุ่น แต่งห้อง เราอยากจะบอกว่า ลุยเลยค่ะ! การมี Me Time เป็นเหมือนรางวัลเล็กๆ ให้กับวันที่แสนหนักของเรา แถมยังเซฟใจตัวเองได้ทันก่อนเบิร์นเอ้าท์ด้วย
เพราะตัวเราเองคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา ชวนมามี ‘เวลาเพื่อตัวเอง’ เพื่อปลอบประโลมชีวิตไม่ให้เหี่ยวเฉาในโลกอันแสนวุ่นวายกันเถอะ!
Read More:
อยู่บ้าน หยุดเชื้อ แต่หยุดออกกำลังกายไม่ได้!
รีวิวโปรเจกต์วิ่งวันละโล โยคะกับไบรไอนี่ ต่อยมวยตามคลิปยูทูบ อันไหนสนุก ทำที่บ้านไหว และทำต่อเนื่องไปได้ยาวๆ
เปลี่ยนตู้เสื้อผ้าให้แฟร์-แฟร์กับสัตว์โลก
Animal-Friendly Wardrobe Guide
Freedom of Choice ในฮิญาบ ที่เราและโลกก็ควรเข้าใจ ด้วยความเคารพ
ไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหน ก็ควรเคารพในศรัทธาที่แตกต่างกัน