Play —— จากผู้ใช้จริง

เที่ยวตรอกจันทน์ด้วยรถสองแถว แบบ หูย โห เฮ้ย! ตลอดทาง

ตามประสาเมืองซอยเยอะและระบบขนส่งสาธารณะหลักยังไม่อาจซอกซอนไปได้ทุกที่ คนเมืองอย่างเราก็ต้องใช้ขนส่งมวลชนขนาดจิ๋ว ทั้งรถสองแถว รถกะป๊อ หรือรถมินิบัส ตามที่แต่ละย่านมีไปพลางๆ ซึ่งธรรมชาติของขนส่งเหล่านี้ ต้องอาศัยความซี้แบบคนบ้านเดียวกัน ถ้าไม่ใช่คนแถวนั้น โบกขึ้นไปนั่งอาจมีหลงทางได้

ด้วยความเจ๋อส่วนตัวที่ชอบความนัวๆ เก่าๆ ของเมือง และอยากตีซี้ย่านตรอกจันทน์ให้มากกว่าถนนเส้นหลัก เมื่อเห็นโอกาสว่ารถสองแถวแดงหลายสายที่วิ่งวุ่นอยู่ทั่วตรอกจันทน์มากมายนั้นต้องพาเราไปในที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ จึงลองโดดขึ้นแล้วปล่อยให้รถลัดเลาะเข้าซอยย่อยไป แล้วก็พบว่าใจมันเต้นตึกตักเหมือนได้รู้จักเพื่อนใหม่จริงๆ ด้วย จากที่เคยตีสนิทผ่านร้านอาหารเก๋าๆ ในย่านหรือแลนด์มาร์กตามเส้นทางรถเมล์ เราก็เริ่มได้มักจี่กับย่านผ่านรั้วบ้าน แมวจร ป้ายห้ามทิ้งขยะ และแน่นอน ของอร่อยแรร์ไอเท็มเพราะขายกันเงียบๆ อยู่ในซอยตัวเอง (ในที่สุดก็กลับมาเรื่องกิน)

พอตั้งโจทย์กันเองในชาว ili U ว่าอยากจะแชร์ ‘โลเกฉัน’ เพื่อบันเทิงไปกับย่านต่างๆ ในเมือง เลยนึกถึงรถสองแถวย่านตรอกจันทน์เป็นอย่างแรก และลองทำเป็นมิชชั่น ลองดูสิว่ารถสองแถวหนึ่งสายจะกลายเป็นเส้นทางเที่ยวเมืองเพลินๆ ได้ไหม 

นี่คือบันทึกจากผู้ใช้ (รถสองแถวเที่ยว) จริง นี่นึกจะโบกตรงไหนก็โบก ลงตรงไหนก็ลง อุดหนุนร้านเล็กจิ๋ว แวะไปตามสันชาตญาณความสนุก และลุกให้คนแก่นั่งด้วย

อย่างที่บอกว่าย่านนี้มีสองแถวแดงวิ่งลัดเลาะอยู่เยอะสาย เพื่อขนส่งคนจากย่านยิบย่อยไปจุดใหญ่ๆ อย่างบางรัก สีลม ศาลาแดง สวนลุม ทริปนี้ เราเลือกสองแถวสาย 1271 เลิดสิน วัดไผ่เงิน 

เลิดสินคือชื่อโรงพยาบาล (ตรงข้ามมีขาหมูเจริญแสง สีลม อร่อยยกขา!) ส่วนวัดไผ่เงิน หลายคนอาจคุ้นชื่อจากข่าวศพเด็กจากการทำแท้งสองพันศพ (เราซึ่งสนับสนุนสิทธิการทำแท้งถูกกฎหมาย ขอพูดแค่ว่าคดีสุดช็อคนี้จะไม่เกิดเลยถ้าเราไม่ซุกปัญหากันอยู่นั่นแหละ) ส่วนระยะที่รถผ่าน มีศาลอาญากรุงเทพใต้ วัดลุ่มเจริญศรัทธา ตลาดสะพานสอง ซอยวัดไผ่เงิน สุสานกวางตุ้ง 

จริงๆ หน้าตารถค่อนข้างเหมือนกัน ถ้าเราจำเลขไม่ได้ก็ออกจะยากอยู่สักหน่อย เพราะอาจจะขึ้นรถที่พาไปซอยเซนต์หลุยส์ หรือไปวัดดอกไม้แทนก็ได้ ใครไม่เก๋าแนะนำให้ขึ้นต้นสายที่เลิดสินเลย

รถจะขับชิลล์ๆ ช้าๆ มองหาผู้โดยสาร ผ่านตลาดบางรัก เลี้ยวเข้าซอยข้างศาลกรุงเทพใต้ ผ่านวัดลุ่มเจริญศรัทธา ไปโผล่ตรอกจันทน์ จนพอถึงร้านข้าวต้มปลาเฮียหวาน ก็เลี้ยวฟ้าบเข้าไปในซอยจันทน์ 43

แค่พ้นเข้าซอยก็ตื่นเต้นแล้ว ที่ได้เห็นอดีตโรงเรียนช่างกลสร้างอยู่ในศาลเจ้า ก้มหน้าเสิร์ชพบว่าเป็นช่างกลเก๋ายุคคุณพ่อ ยังไม่หายงงใจว่าอยู่ด้วยกันได้ยังไง ก็เงยหน้ามาเจอศาลเจ้าที่อยู่ในตึกแถวไร้ผนัง! 

ซอยนี้ไม่ธรรมดาสินะ!

สายไฟรุงรังก็ทำให้เรากลับมาคุ้นเคยอีกครั้ง  แต่เฮ้ย! นั่นมีโต๊ะนักเรียนเกาะอยู่บนตึก ต้องยอมใจดิสเพลย์ร้านขายโต๊ะเก้าอี้นักเรียนเจ้านี้!

หันซ้ายหันขวาส่องตึกโน้น ดูบ้านนี้ หย่อมนี้ขายท่อติดๆ กัน โอ้ ตึกหน้าตาเท่ก็มีอยู่นะ ตรงนั้นมีโรงเรียนประถมแบทเทิลกันอยู่ เลยมาอีกนิดมีคอมมูนิตี้มอลล์ดูคึกคัก หันไปทางนั้นเจอคนรู้จักเป็นเด็กสมบูรณ์ 

หน้าอาณาจักรหยั่น หว่อ หยุ่น มีคาเฟ่ที่ขายสินค้ายุคใหม่ปรับปรุงเก๋ไก๋ มี soft cream ราดซีอิ๊วดำที่เคยโปรโมตอยู่ช่วงหนึ่งขายด้วย สายหวานไปลองกันได้

ความคึกคักหน้าวัดไผ่เงินทำให้ลงตามผู้โดยสารคนอื่นๆ ลงมา เห็นแก๊งสาวออฟฟิศเดินไปกินข้าวกลางวันพอดี เลยเดินตามไป กะเจอไอเท็มเด็ด สาวๆ ไปหยุดหน้าร้านตามสั่งชื่อแก้วอาหารไทย แต่โต๊ะถูกจองเต็มแล้ว เล็งเห็นว่าต้องเด็ดแน่ๆ เดี๋ยวกลับมาโดน และก็เลยตามเลย ตัดสินใจเดินตามแก๊งเดิมเข้าไปในตลาดนัดหน้าวัดไผ่เงิน แม้จะยังตั้งไม่เต็มพื้นที่ แต่กลิ่นความคึกคักหนักมาก

แก๊งสาวๆ มาหยุดที่ร้านขนมจีนหม้อใหญ่เว่อร์ เลยสั่งเลียนแบบเอาน้ำยาผสม

ด้วยหนึ่งชาม รำลึกวัยเด็กที่ตามแม่ไปตลาดแล้วต้องได้กินขนมจีน และได้อุดหนุนร้านโน้นร้านนี้เท่าที่เดินอิ่มได้

เดินปากเบินออกมา ส่องป้ายวัดนักบุญยอแซฟ แล้วดูให้แน่ใจอีกครั้งว่านี่วัดหรือโบสถ์กันแน่

แม้หน้าตาจะไท้ ไทย แต่มีกางเขนเด่นเป็นสง่า อ่านประวัติพบว่าเป็นวัดส่วนต่อขยายจากโบสถ์อัสสัมชัญบางรัก มาสร้างคอมมูนิตี้ให้ชาวคาทอลิกใหม่ย่านนี้ มีโรงเรียนยอแซฟ กรุงเทพฯ และวาสุเทวี สอนนักเรียนชายและหญิงย่านนี้มาเนิ่นนาน

เดินดูความคริสต์แบบไทยๆ ทั้งมาลัยในมือนักบุญ ทั้งรูปปั้นวัวและควายข้างโบสถ์ ทั้งมู้ดแอนด์โทนที่โนสน โนแคร์ ความโกธิค เรเนสซองส์ บาโรก หรือใดๆ ประทับใจมาก บางคนอาจจะเคยเห็นโบสถ์ทรงไทยที่วัดพระมหาไถ่ ซอยร่วมฤดี จริงๆ โบสถ์นี้ก็ราวๆ นั้น แต่มัน ‘ไทย’ กว่า แบบอธิบายไม่ถูก ใครเคยไปวัดพระมหาไถ่อาจนึกความโอ่อ่าอร้าอร่ามนั้นออก แต่ที่นี่มันน่ารักกว่านั้นน่ะ

ด้วยความเนิร์ดเลยไปหาข้อมูลว่าเรามีโบสถ์หน้าตาไทยมากน้อยแค่ไหน และทำไมถึงต้องไทยด้วย ก็พบว่าหลังยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีแนวคิดไทยประยุกต์ สร้างวัดตามแบบแผน หรืออาหารทรงไทยประยุกต์มากมาย ก็ลามมาถึงโบสถ์คริสต์ด้วย โบสถ์แรกคือวัดยาโกเบที่สมุทรสงคราม และตามต่อมาอีกหลายโบสถ์ ส่วนวัดพระมหาไถ่ที่ว่า ที่ต้องอู้หู อ้าหา คือโบสถ์นั้นสร้างด้วยสถาปนิกชาวอิตาเลียนนะ เพราะเป็นดำริของพระสังฆราชอเมริกันที่มาเยือนไทยแล้วเปรยๆ ว่าน่าจะมีโบสถ์คาทอลิกในสถาปัตยกรรมท้องถิ่นดูนะ 

ส่วนวัดนักบุญยอแซฟ แม้จะไม่ได้มีบอกชัดเจนว่าเหตุผลที่สร้างโบสถ์หน้าตาไทยเป็นเพราะอะไร แต่จาก พ.ศ. 2498 ที่สร้าง ก็เดาๆ ได้ว่าเป็นยุคตื่นโมเดิร์น และพยายามสร้างแบบแผนใหม่ของงานไทยประยุกต์ตามทฤษฎี แต่โบสถ์หน้าไทยอื่นๆ ในกรุงเทพฯ อย่างวัดพระกุมารเยซู และวัดธรรมาสน์นักบุญเปโตร ซึ่งสร้างในยุคหลังๆ น่าจะไม่เกี่ยวกับแนวคิดเข้มข้นยุคแรกเท่าไหร่) 

จบความเนิร์ด เมื่อเราได้ยินเสียงรถรับซื้อของเก่าที่เหมือนกับที่วิ่งบ้านเราทุกเช้า  ถ้าไม่ใช่คันเดียวกันก็ต้องมาจากแก๊งเดียวกันแน่ๆ รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยพระประแดงกับตรอกจันทน์ก็จัดอยู่ในละแวกเดียวกันในหมู่คนขายของเก่านะ! เวลาบอกเพื่อนว่าตรอกจันทน์ก็ใกล้บ้านจะได้ไม่มีใครหาว่าเราเว่อร์เกินจริง!

เราข้ามฝั่งมาหวังเสพขนมหน้าโรงเรียน เจอร้านชานมไข่มุกที่มีแอเรียลคอยเรียกแขก ไม่มีอีกแล้วสินะ ขนมหน้าโรงเรียนเชยๆ ที่แกเคยกิน 

เพื่อความแล้วใจ และคิดว่าน่าจะผ่านช่วงพีคยามเที่ยงแล้ว กลับไปซ้ำร้านแก้วอาหารไทย ชอบใจในความนี่มันร้านตามสั่งธรรมดา แต่เมนูไฮโซมาก มีปลากะพงผัดพริกเกลือ คั่วแห้งหมูใบยี่หร่า ไก่กรอบซอสมะขาม ถั่วลันเตาหวานผัดกุ้ง ฯลฯ แค่ยืนอ่านป้ายก็น้ำลายไหล เข้าไปนั่งโต๊ะสั่งปลากะพงผัดพริกเกลือราดข้าวและแกงป่าหมูสับหนึ่งถ้วย แล้วก็อุ๊ย หันไปเห็นป้ายเชลล์ชวนชิมรุ่นคุณปิ่นโตเถาเล็ก…ไม่ธรรมดา

ปลากะพงดีมาก หอมกรุ่น จัดจ้าน ส่วนแกงป่านั้นหนาเลอค่าสมเหงื่อที่เสียไปให้ความเผ็ดร้อน นวลนัวกระชุ่มกระชวย และสิ่งที่ดีสุดคือ ข้าวหน้าปลากะพงสองชิ้นอิ่มราคา 50 บาท แกงป่าถ้วยโต๊โต 60 บาทจ้ะ

ที่จริงอิ่มมากจากการกินสองมื้อติดกัน เลยโบกรถสองแถวไปสุดสาย จึงได้พบกับฐานทัพลับของสองแถวสายนี้ รถทุกคันจอดเรียงรายรอผู้บัญชาการประกาศออกไมค์เรียก ว่าถึงคิวออกไปวิ่งแล้ว ซึ่งคิวคงยาวอยู่นะ เราสังเกตว่าหลายๆ คนมีเปลไว้ผูกนอนรอคิวชิลล์ไปเลย!

ไฮไลท์ส่วนตัวของเราเองคือที่นี่ สุสานกวางตุ้ง ลูกหลานไทยเชื้อสายจีนอาจจะชินชากับการไปเช้งเม้ง ไหว้บรรพบุรุษที่หลุมศพ แต่สำหรับเรา ที่นี่มันวันเดอร์แลนด์มาก สถาปัตยกรรมแข็งๆ แบบยุคตื่นโมเดิร์น (หลัง พ.ศ. 2475) แต่คิวท์ๆ ด้วยสีที่ซีดเซียว จริงๆ ตอนไปเก็บมิชชั่นประตูปิด แต่เราเคยไปก่อนหน้านี้แล้วบันทึกภาพไว้ได้ แปะไว้ให้ดูแทนละกันนะ

เดินต่อไปอีกนิดเพราะอยากรู้ว่าซอยนี้จะไปสุดที่ไหน ก็เห็นว่ามีสนามไดร์ฟกอล์ฟอยู่ เลยไปข้างหน้าเป็นโรงเรียนสารสาสน์เอกตรา แหวกดูกูเกิลแมพพบว่าออกซอยสาธุประดิษฐ์ 20 ได้ด้วย

ตัดสินใจไปนั่งรถสองแถวคิวแรกอีกครั้ง ชอบใจในความอืดอาดของการค่อยๆ ขับ ค่อยๆ มองหาผู้โดยสาร (ทั้งที่ถ้าเป็นวันเวลาปกติคงอยากเร่งให้ไปเร็วๆ) มองเส้นทางเดิมที่รถขับไปบางรักอีกครั้ง มองหาสิ่งที่พลาดในขามาและคราวก่อนๆ และยังคง เฮ้ย โห หูย ตลอดทาง ฟีลลิ่งเหมือนนั่งรถไปเที่ยวบ้านเพื่อนสมัยมัธยมและมองหาสิ่งที่เหมือนและต่างไปจากบ้านเรา จากนั้นก็จะจดจำย่านนั้นๆ ไว้ตลอดไป

จนรถออกมายังถนนใหญ่ที่จราจรค่อนข้างคับคั่ง เราเริ่มหวาดเสียวกับการที่มีรถคันอื่นๆ พยายามคับจี้รถสองแถวแบบหมกมุ่นจนชวนท้าต่อย เข้าใจนะว่าหากเป็นคนขับรถ ความเฉื่อย ช้า จอดบ่อย แถมยังต้องรอจ่ายค่าโดยสารมันน่าหงุดหงิดใจแค่ไหน แต่ถนนก็ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งนะ! 

เราตัดสินใจลงจากรถหลังศาลอาญากรุงเทพใต้ตามผู้โดยสารคนหนึ่งที่จะลงจุดนั้นพอดี แล้วพี่เขาก็เลี้ยวฟ้าบไปสั่งขนมหวานที่รถเข็นเจ้านึงแบบตั้งใจ ทางนี้ก็เลยเอาด้วยอีกแล้ว แม้ว่าจะเป็นร้านรถเข็นริมทาง แต่ ‘ร้านขนมหวานป้าเล็ก’ ก็สะอาดสะอ้าน มีถ้วยและเก้าอี้ไว้สำหรับนั่งกินตรงนั้นด้วย ทางเราสั่งข้าวเหนียวเปียกลำใย และพบว่าชามใหญ่เหมือนจะเป็นมื้อเย็นได้ และลำใยเยอะมากจนแค่เลือกกินแต่ลำใยยังอิ่ม ออกตัวกับป้าว่าอร่อยจังค่า แต่หนูกินมาตลอดทาง อิ่มไม่ไหวค่า.. (ป้าเปิดร้านทุกวันช่วงบ่ายๆ ถึงสักสี่โมงเย็นนะ เผื่อใครอยากลอง)

จริงๆ ตั้งใจจะไปเดินเล่นในซอยแสงจันทร์ซึ่งเป็นอีกชุมชนคึกคักแถวนั้นต่อ แต่ด้วยความอิ่มมาก ชิมอะไรไม่ได้มากเลยขอติดไว้ คราวหน้าจะลองมาตีซี้ซอยนี้ต่อไปนะ

จบทริปแบบไม่เหนื่อยอย่างที่คิด เพราะกินๆ นั่งๆ เดินๆ บวกกับวันที่ไปแดดไม่ร้อน อากาศไม่แรง เลยกลายเป็นวันที่ยิ้มคนเดียวมากที่สุดในรอบเดือน ซึ่งถ้ามองเอาความเพลิดเพลิน การเที่ยวเล่นในย่านชุมชนก็ได้อยู่นะ ในความธรรมดามันมีความน่ารักซ่อนอยู่แหละ และในความไม่รู้มันก็มีความพิเศษชวนวันเดอร์อยู่มากมาย และค่อนข้างแก้เลี่ยนความจำเจใจที่เอะอะก็ต้องเข้าห้างอยู่ร่ำไปเพราะไม่รู้จะใช้ชีวิตที่ไหนดี

ลองออกไปเล่นกับเมืองดูสิ เผื่อจะสนิทสนมกับเมืองนี้และอยากจะไนซ์กับเมืองนี้มากขึ้น

Content Designer

อดีตผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสาร #aday คือเจ้าของหนังสือทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่ง อาทิ #สนธิสัญญาฟลามิงโก #ร้านหวานหวานวันวาน คือบรรณาธิการอิสระและคอนเทนต์ครีเอเตอร์ฟรีแลนซ์ ก่อนจะมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทออกแบบคอนเทนต์ที่ยังไม่รู้จะตั้งชื่อตำแหน่งตัวเองว่าอะไร

Graphic Designer

#กราฟิกดีไซเนอร์ #เป็นเด็กหญิงMoodyGirl #แต่ถ้าได้กินของอร่อยฟังเพลงเพราะนอนเต็มอิ่มจะจิตใจแจ่มใสและหัวใจพองโต

Read More:

Play The Conscious Shopper

แชร์วิธีเช็คอินโรงแรมสีเขียว เที่ยวนี้ขอเฟรนด์ลี่กับโลกด้วย

ชวนเป็นนักท่องเที่ยวใส่ใจโลก ตอบรับกับที่หลายโรงแรมเริ่มมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

Play

ยกออฟฟิศไปเวิร์กช็อป ‘ Risograph ’ งานพิมพ์ที่ใจดีกับโลกมากกว่าที่คิด!

ลงชื่อเป็นนักเรียนยกออฟฟิศ ไปรู้จริง ทำจริง พิมพ์จริง รู้จักงานพิมพ์ที่ไม่ได้แค่สวยยูนีคอย่างเดียว แต่เป็นกระบวนการพิมพ์ที่ดีต่อโลกและเรามากกว่าที่คิด!

Play ผลการทดลอง

‘ตามล่า’ หนังสือที่อยากได้จากร้านมือสอง

ทดลองช้อปหนังสือมือสองแบบมีมิชชั่น (ไม่) อิมพอสซิเบิ้ล